การกำกับดูแลกิจการ
- หน้าหลัก
- >>
- การกำกับดูแลกิจการ
- >>
- นโยบาย
- >>
- นโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์ของกรรมการและผู้บริหาร
นโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์ของกรรมการ และผู้บริหาร
1. บทนำ
บริษัท กรุงเทพโสภณ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักการ กำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้จัดทำและนำนโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์ ของกรรมการ ผู้บริหาร เพื่อเป็นแนวทางในการปฎิบัติต่อไป
2. วัตถุประสงค์
นโยบายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
- กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฎิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของกรรมการ และผู้บริหารของบริษัทฯ
- สนับสนุนให้กรรมการ ผู้บริหารของบริษัทฯ ปฎิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (“พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ”) เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เกี่ยวกับการรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน
- ดำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทฯ
3. ขอบเขต
- นโยบายฉบับนี้บังคับใช้กับกรรมการ ผู้บริหาร ของบริษัทฯ นอกจากนี้ เนื้อหาบางส่วนของนโยบายยังครอบคลุมถึงคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าวด้วย
- นโยบายฉบับนี้ครอบคลุมถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
4. คำนิยาม
ข้อความ หรือ คำใดๆ ในนโยบายฉบับนี้ ให้มีความหมายดังต่อไปนี้ เว้นแต่ ข้อความดังกล่าวจะแสดงหรือได้อธิบายไว้เป็นอย่างอื่น
- “นโยบาย” หมายถึง นโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์ของกรรมการ และผู้บริหาร
- “บริษัทฯ” หมายถึง บริษัท กรุงเทพโสภณ จำกัด (มหาชน)
- “หลักทรัพย์” หมายถึง หุ้น (สามัญและบุริมสิทธิ) และหลักทรัพย์แปลงสภาพ ได้แก่ หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (Warrants) หรือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (Transferable Subscription Rights (“TSR”)) สิทธิในการซื้อหุ้น (Stock Options) ตราสารอนุพันธ์ (เช่น ฟิวเจอร์ส และ ออฟชั่น) และตราสารทางการเงินอื่นๆ ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดการเงิน
- “การซื้อขาย” หมายถึง การซื้อ ขาย โอน หรือรับโอน หลักทรัพย์ และ/หรือ ผลประโยชน์ต่างๆ ทางกฎหมายในหลักทรัพย์ รวมทั้ง การใช้สิทธิในการซื้อหุ้น หรือใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้แปลงสภาพ
- “ข้อมูลภายใน” หมายถึง ข้อเท็จจริงอนเป็นสาระสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ตัวอย่างของข้อมูลภายใน ได้แก่
- ฐานะทางการเงินและผลประกอบการทางการเงิน
- การคาดการณ์ทางการเงิน (Financial Projections)
- การจ่ายหรือไม่จ่ายเงินปันผล
- การเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับหนี้สิน (Credit Rating)
- การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์
- การเรียกไถ่ถอนหลักทรัพย์
- แผนธุรกิจ รวมถึง แผนเชิงกลยุทธ์ แผนการตลาด และแผนการระดมทุน
- การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแผนการลงทุน หรือโครงการลงทุน
- การ่วมทุน การควบรวมกิจการ หรือการขายกิจการ
- การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทอื่น
- การซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่สำคัญ
- ข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สำคัญ
- การได้มา หรือสูญเสียสัญญาทางการค้าที่สำคัญ
- ข้อพิพาททางกฎหมายที่สำคัญ
- การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีที่สำคัญ
- การเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม หรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในคณะกรรมการบริษัทฯ หรือผู้บริหารระดับสูง
6. “กรรมการ” หมายถึง กรรมการของบริษัทฯ
7. “ผู้บริหาร” หมายถึง กรรมการผู้จัดการ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารสี่รายแรกนับต่อจากกรรมการผู้จัดการลงมา ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารรายที่สี่ทุกราย และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารในสายงานบัญชีหรือการเงินที่เป็นระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไปหรือเทียบเท่า ของบริษัทฯ (ตามนิยามของสำนักงาน ก.ล.ต.)
8. “บุคคลที่บริษัทฯ กำหนด” หมายถึง บุคคลที่มีตำแหน่งหรือหน้าที่ ซึ่งล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัทฯ (รวมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าว) ตัวอย่างของบุคคลซึ่งอาจล่วงรู้ข้อมูลภายในได้แก่
1. กรรมการ
2. ผู้บรหาร
3. พนักงานในหน่วยงาน ดังนี้ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และเลขานุการบริษัท ฝ่ายบริหารความเสี่ยง ฝ่ายการตลาด
4. พนักงานทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ และ/หรือ คณะกรรมการชุดย่อยในระเบียบวาระที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ตามข้อ 4. (4)
5. บุคคลอื่นใดที่บริษัทฯ กำหนด
ทั้งนี้ เลขานุการบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลรักษาทะเบียนรายชื่อบุคคลที่บริษัทฯ กำหนด และแจ้งให้บุคคลดังกล่าวทราบ เมื่อถูกเพิ่มหรือลบรายชื่อในทะเบียนดังกล่าว
5. หน้าที่และความรับผิดชอบ
- คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มอบหมายให้กรรมการผู้จัดการ มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายฉบับนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่บริษัทฯ กำหนด ได้ปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด
- เลขานุการบริษัท มีหน้าที่หลักในการนำนโยบายฉบับนี้ไปปฎิบัติใช้ รวมทั้ง ติดตามประสิทธิผลตลอดจนชี้แจงตอบข้อซักถาม
- ผู้บริหารมีหน้าที่รับผิดชอบ และทำให้มั่นใจว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ได้ตระหนักถึงความสำคัญและมีความเข้าใจนโยบายฉบับนี้ รวมทั้งปฎิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด
- กรรมการ และผู้บริหาร จะต้องปฎิบัติตามนโยบายฉบับนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งสื่อสารนโยบายฉบับนี้ให้คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้รับทราบ
6. นโยบายและแนวทางปฎิบัติ
6. ข้อห้ามในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน
กรรมการ และผู้บริหาร ต้องปฎิบัติตามข้อห้ามในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยการใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 241 “ในการซื้อหรือขายซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขาย หรือเสนอซื้อ หรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่น ซื้อ หรือขาย หรือเสนอซื้อ หรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้นและไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้น ออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าว โดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน”
6. ช่วงเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์
- ห้ามบุคคลที่บริษัทฯ กำหนด ซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในช่วงเวลา 30 วัน ก่อนการเปิดเผยงบการเงิน
ประจำรายไตรมาสและประจำปี และช่วงเวลาอื่นที่บริษัทฯ จะกำหนดเป็นครั้งคราว
- ในสถานการณ์พิเศษ บุคคลที่บริษัทฯ กำหนดอาจขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในระหว่างช่วงเวลาห้ามซื้อขาย
หลักทรัพย์ได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ เช่น มีความยากลำบากทางการเงินอย่างรุนแรง หรือต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ทางกฎหมาย หรือตกอยู่ภายใต้คำสั่งศาล โดยต้องจัดทำบันทึกระบุเหตุผลเสนอขออนุมัติต่อ
- ประธานกรรมการ (กรณีผู้ขายเป็นกรรมการหรือเลขานุการบริษัท)
- ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ (กรณีผู้ขายเป็นประธานกรรมการ)
- กรรมการผู้จัดการ (กรณีผู้ขายเป็นบุคคลที่บริษัทฯ กำหนดซึ่งไม่ใช่กรรมการและเลขานุการบริษัท)
ทั้งนี้ ให้จัดส่งสำเนาบันทึกดังกล่าวให้แก่เลขานุการบริษัทด้วย
6.2.3 เลขานุการบริษัท จะประกาศช่วงเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ให้บุคคลที่บริษัทฯ กำหนด ทราบเป็นการล่วงหน้า
6.3 การรายงานการถือหลักทรัพย์
6.3.1 การรายงานครั้งแรก
- (1) กรรมการ และผู้บริหาร ของบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานการถือหลักทรัพย์ของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามแบบ 59-1 (เอกสารแบบ 1) ของสำนักงาน ก.ล.ต. และนำส่งให้ สำนักงาน ก.ล.ต. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้บริหาร หรือผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ หรือวันปิดการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 59
- (2) บุคคลที่บริษัทฯ กำหนด นอกเหนือจากกรรมการ และผู้บริหาร มีหน้าที่ต้องจัดทำแบบรายงานการถือหลักทรัพย์ของกลุ่มบริษัทฯ (เอกสารแนบ 2) และนำส่งให้เลขานุการบริษัท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการบริษัท
6.3.2 การรายงานเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
- (1) กรรมการ และผู้บริหารสี่รายแรกของบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องจัดทำแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ตามแบบ 59-2 (เอกสารแนบแนบ 3) ของสำนักงาน ก.ล.ต. และนำส่งให้สำนักงาน ก.ล.ต. ภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่มีการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์ ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ มาตรา 59
- (2) บุคคลที่บริษัทฯ กำหนด นอกเหนือจากกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชี มีหน้าที่ต้องจัดทำแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของกลุ่ม่บริษัทฯ (เอกสารแนบ 4) และนำส่งให้เลขานุการบริษัท ภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่มีการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์
6.3.3 ข้อยกเว้น
- การเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่ต้องจัดทำแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ตามแบบ 59-2
- การเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering)
- การใช้สิทธิตามหลักทรัพย์แปลงสภาพ
- การเสนอขายหุ้นหรือการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้แปลงสภาพ (Warrants) ที่ออกใหม่ให้แก่กรรมการหรือพนักงานของบริษัทฯ (Employee Stock Option Program “ESOP”) หรือได้รับหลักทรัพย์จากโครงการร่วมลงทุนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง (Employee Joint Investment Program “EJIP”)
- การรับหลักทรัพย์โดยทางมรดก
- การโอน หรือ รับโอนหลักทรัพย์ จากการวางเป็นประกันการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
6.4 การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เข้าข่ายการซื้อขายหลักทรัพย์ตามนโยบายฉบับนี้
นโยบายฉบับนี้ ไม่บังคับใช้ในกรณีการเข้าถือหลักทรัพย์ หรือรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (Tender Offer)
7. บทลงโทษกรณีฝ่าฝืนนโยบาย
กรรมการ และผู้บริหาร ที่ทำการฝ่าฝืนนโยบายดังกล่าวอาจมีความรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
8. การทบทวนนโยบาย
เลขานุการบริษัทต้องทบทวนนโยบายฉบับนี้เป็นประจำ และเสนอให้คณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาอนุมัติหากมีการเปลี่ยน แปลง
9. การติดตามดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย
– กำหนดให้กรรมการและผู้บริหาร 4 รายแรกนับจากกรมการผู้จัดการรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 ภายใน 3 วันทำการ หลังจากวันที่ซื้อ ขาย โอน หรือรับโอน
– กรรมการและผู้บริหารที่ทำการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์จะต้องส่งสำเนารายงานดังกล่าวจำนวน 1 ชุด ให้แก่ สำนักเลขานุการบริษัท เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
– เลขานุการบริษัทจะเป็นผู้รวบรวมรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของกรรมการบริษัทเสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการบริษัทในแต่ละไตรมาส เลขานุการบริษัทต้องทบทวนนโยบายฉบับนี้เป็นประจำ และเสนอให้คณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาอนุมัติหากมีการเปลี่ยน แปลง
10. กรณีมีข้อสงสัย
หากกรรมการ และผู้บริหาร มีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายฉบับนี้ หรือไม่แน่ใจว่าข้อมูลภายในที่มีสาระสำคัญนั้นได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วหรือไม่ หรือจะสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ในสถานการณ์ใดๆ กรุณาติดต่อฝ่ายเลขานุการบริษัทโดยผ่านช่องทาง ดังนี้
ฝ่ายเลขานุการบริษัท
บริษัท กรุงเทพโสภณ จำกัด (มหาชน)
ที่อยู่ : 185 ถนนราษฎร์บูรณะ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ 10140
โทรศัพท์ : 02-871-3191 ต่อ 229
E-mail : pawarisa@krungdhepsophon.com
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2563